เหล็กหัวแดงและเหล็กสีฟ้า

เหล็กหัวแดงและเหล็กสีฟ้านั้นจัดอยู่ในประเภทเหล็กหัวสีด้วยกัน และมีลักษณะการใช้งานที่คล้ายคลึงกันหรือไม่อย่างไร วันนี้เรามีคำตอบ

เหล็กหัวแดง จัดอยู่ในเหล็กเกรด S45C และ S50C ซึ่งมีคาร์บอนเป็นกลาง ( 0.45% – 0.55% ) บางยี่ห้ออาจมีการเติมอัลลอยอื่นๆเข้าไปเพื่อจะได้อบหรือชุบได้ง่าย และมีสมบัติเชิงกลได้ดี ซึ่งความแข็งหลังการชุบจะอยู่ที่  60 HRC แต่เมื่อผ่านกระบวนการอบแล้วจะเหลืออยู่ที่ 50 – 58 HRC เพียงเท่านั้น สำหรับเหล็กชนิดนี้นิยมนำมาใช้งานในด้านชิ้นส่วนของฐานต่างๆอาทิเช่น ฐานบ้าน ทำเฟืองขนาดเล็ก สลักเกลียว เป็นต้น ทั้งนี้เป็นเพราะมีราคาที่ถูก ทนทานสูง และสามารถหาซื้อได้ง่าย สำหรับข้อเสียที่จะต้องทราบคือเหล็กหัวแดงมีข้อบกพร่องอยู่ที่ไม่ค่อยทนสนิม จึงไม่สามารถที่จะใช้งานโครงสร้างแบบมาร์เทนไซต์ได้

สำหรับเหล็กสีฟ้า จัดอยู่ในเหล็กเกรด SCM440 มีคาร์บอนที่น้อยมากเพียงแค่ 0.40% เท่านั้น เป็นเหล็กกล้าผสม เหมาะสำหรับงานหนักและทนต่อการกระแทกได้เป็นอย่างดี มีลักษณะการใช้งานที่ไม่แตกต่างจากเหล็กกล้าหัวแดงมากนัก แต่จะมีความแตกต่างกันตรงโครงสร้าง ซึ่งโครงสร้างของเหล็กสีฟ้าจะประกอบไปด้วยคาร์บอนที่มีธาตุอื่นผสมเข้าไปด้วย เพื่อให้ได้คุณสมบัติตามที่ต้องการ โดยจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและแต่ละยี่ห้อ มีความสามารถในการชุบแข็งเช่นเดียวกับเหล็กหัวแดง ซึ่งจะมีความทนทาน ต้านทานต่อการกัดกร่อน การสึกหรอ และทนต่อในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงได้มากกว่าเหล็กหัวแดงหลายเท่าตัวนัก จึงเป็นที่นิยมกันมากกว่าเหล้กหัวแดง

เหล็กสีฟ้าบางยี่ห้อนั้นได้เต็มไปด้วยธาตุต่างๆอาทิเช่น ทังสเตน วาเนเดียม โมลิบดินัม จึงสามารถลดการเสียดสี หรือทนทานกับการเสียดสีได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เหมาะสำหรับการนำไปใช้ประโยชน?ในด้านการผลิตวัสดุอุปกรณ์เช่น น็อต สกรู เพลา ก้านสูบ หรือชิ้นส่วนรถยนต์ เพราะเหล็กสีฟ้ามีความเหนียวและมีสเป็คที่ตรงต่อความต้องการในการใช้งานดีกว่าเหล็กหล้าหัวแดง

สำหรับใครที่กำลังเลือกเหล็กหัวแดงและเหล็กสีฟ้าเพื่อการใช้งานอยู่นั้น เมื่อวิศวกรเห็นควรว่าเหล็กหัวแดงและเหล็กสีฟ้าสามารถที่จะใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา หรือผลเสียที่ตามมาอย่าแน่นอนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความทนทานต่อสภาพอากาศ และสภาวะการรับแรงหรือน้ำหนักในกรณีที่ใช้งานเป็นฐาน จะมีเทคนิคในการเลือกดังต่อไปนี้

  1. ก่อนอื่นเลยนั้นจะต้องเลือกเหล็กที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นเหล็กหัวแดงหรือเหล็กสีฟ้าเรื่องคุณภาพนี้สามารถใช้วิธีการพิจารณาร่วมกันได้ โดยมีการพิจารณาจากคุณสมบัติ 5 ประการได้แก่
  • จะต้องมียี่ห้อ และขนาดของเหล็กระบุบนตัวเหล็กเอง เพื่อที่จะได้ทราบแก่ผู้ที่ต้องการการใช้งาน
  • จากลักษณะของแท่งเหล็กทั้งสองจะมีลักษณะที่เหมือนกันคือเป็นแท่งยาวและมีพื้นผิวที่เกลี้ยงเกลา ดังนั้นการเลือกเหล็กหัวแดงและเหล็กสีฟ้าที่ดีจะต้องมีผิวเหล็กที่เรียบเกลี้ยง ไร้รอยแตกแต่อย่างไร และตัวเหล็กเองก็มีความตรงไม่เบี้ยว หรือเอียงอย่างเด็ดขาด
  • เหล็กที่ดีมีเส้นผ่าศูนย์กลางและน้ำหนักที่ถูกต้องตามมาตรฐาน สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการนำเหล็กที่มีความยาว 1 เมตรไปทำการชั่งแล้วนำไปเทียบกับหน้าหนักต่ำสุดที่ยอมรับกันใน มอก หากมีน้ำหนักน้อยกว่าไม่ควรนำไปใช้เพราะเหล็กหัวแดงตัวนั้นเป็นเหล็กเบา ไม่เหมาะสำหรับงานก่อสร้างยิ่งเป็นฐานก็ยิ่งไปกันใหญ่ สำหรับเหล็กสีฟ้าก็เช่นกัน เพราะมิเช่นนั้นแล้วอาจก่อให้เกิดอันตรายเพราะความขาดประสิทธิภาพของวัสดุได้
  • ในการนำมาใช้งานนั้นย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะต้องอาศัยการดัด หรือโค้งงอ ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อเหล็กทั้งสอง จะต้องมีการทดลองด้วยการดัด หรือโค้งงอ เหล็กหัวแดงและเหล็กสีฟ้าที่ดีจะต้องไม่มีการแตกหรือปริของผิว และที่สำคัญไม่หักง่าย เมื่อได้จับหรือสัมผัสนั้นจะต้องมีมีเสี้ยนหรือให้ความรุ้สึกเหมือนกับการจับไม้อย่างเด็ดขาด
  • ตัวเหล็กหัวแดงและเหล็กสีฟ้าเองมีการเก็บที่ดี ไร้สนิมกินเข้าไปในเนื้อเหล็ก และที่สำคัญไม่มีการเคลือบด้วยน้ำมัน หรือสีอื่นๆ เหล็กที่ดีและมีเกรดจะต้องเป็นสีธรรมชาติของเหล็กเท่านั้น เพราะหากมีการเคลือบ หรือพลางสายตาด้วยการทาสีนั้นหมายความว่าเหล็กชุดนั้นอาจมีสิ่งที่ผิดปกติ ซึ่งนำไปสู่ความไร้มาตรฐานก็เป็นไปได้
  1. ในการเลือกเหล็กหัวแดงและเหล็กสีฟ้าแต่ละยี่ห้อจะต้องมีการทำการศึกษาก่อนที่จะตัดสินใจ และสิ่งแรกที่จะต้องดูคือ จะต้องดูส่วนประกอบของเหล็กมีกลไกการผลิตทางเคมีที่เหมาะสมหรือไม่ กระบวนการอบด้วยความร้อนหรือกระบวนการตรวจสอบนั้นได้มาตรฐานรองรับมั้ย เพราะมิเช่นนั้นแล้วหากเป็นเหล็กที่ไม่ผ่านมาตรฐานจะก่อให้เกิดความเสียหายที่ใหญ่หลวงตามมา ดังนั้นขั้นตอนการตรวจสอบหรือเลือกในจุดนี้จึงสำคัญเป็นอย่างมาก
  2. สำหรับเหล็กสีฟ้าและเหล็กหัวแดงนั้นจะต้องตรงตามสเป็คเมื่อทำการวัดด้วยหน่วยมิลลิเมตรจะต้องไม่ขาด หรือเกินไปกว่า 2% จึงจะได้ชื่อว่าเป็นเหล็กที่คุณภาพ และเกรดเอ และทุกเส้นจะต้องมีขนาดที่เท่ากัน มีส่วนต่างที่เกินไปกว่า 2%
  3. การทดสอบก่อนที่จะเลือกเหล็กหัวแดงด้วยการดึงนั้นเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อที่จะได้ทำการประเมินผลการตอบสนองของโครงสร้างเหล็ก ซึ่งคุณสมบัติของเหล็กหัวแดงนั้นจะอยู่ใน 190 – 210 GPA และเมื่อเทียบกับอลูมิเนียมแล้วจะมีค่ามากกว่าถึง 3 เท่าการทดสอบจุดนี้ไม่เกี่ยวกับเหล็กสีฟ้าเพราะความยืดหยุ่นของเหล็กแต่ละชนิดไม่เท่ากัน
  4. เพิ่มเติมสักนิด ในการรับสินค้าจากที่ได้สั่งมานั้นจะต้องตรวจรายละเอียดให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเหล็กสีฟ้า หรือเหล็กหัวแดงว่ามีใบ มอก. ที่ตรงตามที่วิศวกรได้สั่งหรือไม่ และที่สำคัญต้องมีใบคุมล็อตเพื่อการตรวจสอบและดำเนินการต่อหากมีปัญหา หรือเกิดความผิดพลาด

หากจะริเริ่มในการสร้างฐาน หรือประดิษฐ์อะไรก็ตามที่จะต้องอาศัยวัสดุที่สำคัญอย่างเหล็กหัวแดงและเหล็กสีฟ้านั้น จะเป็นการเพิ่มอายุและยืดระยะเวลาของโครงสร้างนั้นได้นานมากขึ้นหากประกอบไปด้วยเหล็กหัวแดงและเหล็กสีฟ้ามีคุณภาพ ข้อแนะนำสักนิด หากเหล็กมีรอยตำหนิ หรือมีลักษณะที่บกพร่องแม่เพียงเล็กน้อย ไม่จัดว่าเป็นเหล็กคุณภาพเยี่ยม หรือเป็นเหล็กเกรดเอ

 

 

5 วิธีเลือกท่อ P.V.C ใช้งานที่บ้านด้วยตัวคุณเองแบบที่ช่างยังยกนิ้วให้

 

ในเรื่องของระบบน้ำนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกชีวิตและทุกครัวเรือน ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจนกระทั้งเข้านอนในแต่ละวัน เรื่องของน้ำ ถือว่าขาดกันไม่ได้เลย แล้วถ้าเป็นการวางระบบน้ำ ระบบประปานั้นเรื่องของท่อน้ำก็เป็นสิ่งทีต้องเลือกของที่ใช้ได้ดีและทนทานเพื่อการใช้งานที่ดีอย่างยาวนาน

การเลือกท่อ P.V.C ที่มีคุณภาพและเลือกขนาดที่ได้มาตรฐานมาใช้งานนั้น เมื่อใช้งานก็จะไม่มีข้อติดขัดสิ่งใด ยิ่งเป็นการต่อท่อน้ำแยกในบ้านด้วยแล้ว การเลือกท่อ P.V.C ตามขนาดที่ต้องใช้งานด้วยแล้วก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ        ท่อ P.V.C ที่มีคุณภาพ แม้จะต้องเจอกับแดดกับฝน เป็นเวลานานๆ ก็หมดปัญหาเรื่องเสื่อมสภาพเร็วอย่างแน่นอน

 

เมื่อคุณรู้แล้วว่าการต่อระบบน้ำต่างๆ คราวนี้ก็มาดู 5 เรื่องที่สำคัญสำหรับการเลือกใช้งานของท่อ P.V.C

 

1.ต้องเลือกท่อ P.V.C ที่มีขนาดตามงานที่ต้องการใช้

การเลือกท่อ P.V.C ให้มีขนาดใช้งานตามความต้องการนั้นมีผลเป็นอย่างมากเพราะถ้าคุณเลือกใช้ท่อทีมีขนาดเล็กเกินไป ระบบน้ำที่ต้องการอาจจะมาไม่แรงตามที่ใจต้องการ และถ้าเลือกใช้งานท่อ P.V.C ที่ใหญ่เกินไป ก็อาจจะได้แรงดันน้ำที่ไม่ไกลด้วยเช่นกัน ตรงส่วนนี้ก็ต้องมองไปถึงระบบปั้มน้ำกันด้วย

 

  1. เลือกท่อ P.V.C ที่ได้รับรองมาตรฐาน

การเลือกท่อ P.V.C ที่ได้มาตรฐานนั้น เวลาที่คุณใช้งานอายุงานจะยาวนานตามมาตรฐานที่ได้กำหนด และอุปกรณ์ต่อเสริม หรือที่เรียกกันง่ายๆ ตามท้องตลาดว่าข้อต่อ ข้องอที่เป็นอุปกรณ์เสริมของ ท่อ P.V.C เหล่านี้ก็จะมีการต่อกันอย่างดีสามารถใช้งานกันได้อย่างดีเยี่ยม หมดปัญหาเรื่องรอยรั่ว รอยซึมอย่างแน่นอน

 

3.เลือกใช้งานตามงานที่เหมาะสม

อย่างการเลือกท่อ P.V.C มาใช้งานกันนั้น บางครั้งก็ต้องดูการใช้งานกับพื้นที่ที่จะติดตั้งด้วยเช่นกัน อย่างการฝังท่อไปตามผนังหรือตามพื้น ก็ควรเลือกอุปกรณ์ที่ที่เหมาะสมกับงานเลือกความแข็งแกร่งทนทานเป็นสำคัญ เพราะจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาที่หลัง

 

4.ราคาของท่อ P.V.C

ในเรื่องของราคา ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญด้วยเช่นกันอย่างการเลือกท่อ P.V.C ที่ไม่ได้มาตรฐานราคาอาจจะถูก แต่อายุการใช้งานก็สั้นตามไปด้วยบางครั้งก็อาจจะไปต่อกับท่อ P.V.C เดิมที่เรามีอยู่ไม่ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นเรื่องของราคาก็ต้องดูคุณภาพตามกันไปด้วย เพราะเดี๋ยวนี้ของดีไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป

 

5.อายุการใช้งาน

เรื่องของท่อ P.V.C ส่วนใหญ่แล้วจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และจะมีฉลากบอกที่ตัวของท่อ P.V.C ติดมาอยู่ด้วยคุณจึงสามารถที่จะสังเกตได้ง่ายๆ ว่าอายุการใช้งานของท่อนั้นเป็นเช่นไร ถ้าคุณไม่อยากที่จะต้องเสียเงิน และเสียเวลามาดูแลเรื่องของระบบน้ำ ระบบท่อกันบ่อย ๆก็แนะนำให้ดูรายละเอียดของท่อ P.V.C ตรงนี้กันด้วย

 

ถ้าจะให้กล่าวสรุป ก็คงจะบอกได้ว่า การเลือกระบบประปา หรือการเลือกท่อ P.V.C มาใช้งานกันนั้นก็ควรจะเลือกยี่ห้อที่ได้มาตรฐานกันสักหน่อย การใช้งานก็จะสะดวกสบายและใช้งานได้ง่ายตามกันไปด้วย เลือกท่อ P.V.C ที่ดีก็หมดห่วงเรื่องระบบน้ำ ระบบประปาไปได้เป็น สิบๆ ปี เลือกท่อ P.V.C ใช้งานทั้งทีเลือกของดีของคุณภาพเป็นดีที่สุด

———————————————————————————————————————————————————————————————————–

ตัดเหล็กตามแบบ

ในปัจจุบันนี้ได้มากไปด้วยเทคโนโลยีในการตัดเหล็กตามแบบที่ลูกค้าต้องการนั้น ได้มีการพัฒนาไปจากเดิมมาก  และมีกรรมวิธีในการเลือกได้หลายวิธี ทำให้เกิดความแม่นยำ และสามารถตัดได้หนาขึ้นกว่าเดิมมาก อีกทั้งมีข้อผิดพลาดที่น้อย ก่อให้เกิดความเสียหายและค่าใช้จ่ายที่ต่ำลงมาจากเดิมอีก

การตัดเหล็กตามแบบหรือที่เรารู้จักกันว่าเหล็กตัดนั้นเป็นอีกหนึ่งกระบวนการที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับวงการอุตสาหกรรม และอื่นๆ ที่แยกย่อยตามมา การตัดเหล็กตามแบบหรือเหล็กตัดที่มีความแม่นยำ และมีประสิทธิภาพของโลหะนั้น เป็นจุดที่ไม่ว่าลูกค้ารายไหนต่างก็ย่อมต้องการเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในงานที่ต้องให้เหล็กตัดตามแบบที่ได้ให้โจทย์ไปทำการตัดนั่นเอง ไม่เพียงเท่านี้เพราะการตัดเหล็กตามแบบยังช่วยในการดัดแปลง ซ่อมแซม หรือขัดเกลาผลงานอื่นๆให้อยู่ในลักษณะที่เป็นรูปเป็นร่าง ลงตัว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สำหรับทุกวันนี้การตัดเหล็กตามแบบ หรือเหล็กตัดที่กำลังได้กระแสตอบรับ และเป็นที่ต้องการเป็นอันดับหนึ่งคือการตัดเหล็กตามแบบด้วยแสง CNC ไม่ต้องยุ่งยากเพียงวันนี้ได้ทำการส่งโปรแกรม Auto Cad หรือส่งแบบตัวอย่างเพื่อทำการตัด หรือสั่งตัดเหล็กตามแบบได้เลย  เป็นกระบวนการตัดเหล็กที่ใช้แรงดันของแก๊สผลงานออกมาเป็นเหล็กตัดที่ได้คุณภาพ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีวิธีการและการดำเนินการอย่างง่ายๆ คือการร่างแบบตามที่ต้องการบนแผ่นโลหะ แล้วจากนั้นก็ทำการตัดตามแบบที่ต้องการ ซึ่งแต่เดิมนั้นอาจต้องใช้อุปกรณ์อื่นๆร่วมด้วยเพื่อที่จะได้ตรงตามแบบและป้องกันความผิดพลาดได้มากที่สุด มันเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก จนได้มีการประดิษฐ์ คิดค้น และทำการพัฒนาตัวตัด หรือเครื่องตัดมาเป็นการเครื่องตัดเหล็กตามแบบ CNC ที่มีการทำงานด้วยระบบแก๊ส ที่มีการควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะงานยากหรืองานง่าย เวลาเพียงเล็กน้อยก็สามารถที่จะกระทำได้แล้ว อีกทั้งไม่ยุ่งยาก ในการตัดชิ้นส่วนที่ซับซ้อน และตัดงานซ้ำๆเป็นจำนวนมาก และสามารถทำการแก้ไขข้อมูล ตรงที่โปรแกรมเพื่อให้ได้งานตามโครงร่าง หรือรูปแบบที่ต่างกันในเวลาที่รวดเร็วเร็ว สำหรับเครื่องตัดเหล็กตามแบบอย่าง CNC เหมาะสมสำหรับงานแม่แบบที่สุด และสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีขนาดกลาง ที่ต้องการกำลังผลิตในระดับกลาง

เครื่องตัดเหล็กตามแบบที่ต้องการอย่างเครื่อง CNC นั้น มีชื่อย่อมาจาก Computer Numerical Control  คือเครื่องที่มีการควบคุมตัวเลขด้วยระบบคอมพิวเตอร์ หมายถึงระบบการทำงานที่ถูกกำหนด หรือควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะต้องการเหล็กตัดกี่ชิ้น ก็ออกมารูปแบบเดียวกัน 100% ทุกชิ้น ใช้เวลาที่มานานนัก และสามารถทำได้อย่างง่ายดาย

นอกจากนี้ทราบกันหรือไม่ว่ากว่าจะมาเป็นเครื่องตัดเหล็กตามแบบ อย่าง CNC นั้นแต่เดิมมีวิธีการตัดเหล็กให้เป็นไปตามที่ต้องการ หรือรูปแบบที่ต้องการนั้นจะมีการจัดการด้วยการใช้เลื่อย การตัดด้วยเครื่องเลเซอร์  การตัดด้วยแก็ส หรือการตัดด้วยเครื่องตัดพลาสมา ซึ่งจะยุ่งยากมากและเหล็กตัดที่ออกมานั้นไม่ค่อยสวยและไร้คุณภาพอีกด้วย เพราะต้องมีการร่างแบบลงบนโลหะ แล้วค่อยๆตักไปตามแบบ จะเห็นได้เลยว่ากินเวลาไปไม่ใช่น้อย และที่สำคัญหากต้องการเหล็กตัดตามแบบนั้นๆจำนวน 100 อัน ก็จะต้องมีการร่างทั้ง 100  อัน ซึ่งทุกอันจะมีความแตกต่างกันและไม่ค่อยเทากัน เวลานำไปใช้ก็เป็นส่วนขาดเกินที่ไม่ลงตัว ผลงานที่ออกมานั้นย่อมลดหลั่นประสิทธิภาพลงไปด้วย

การใช้เครื่องตัดเหล็กตามแบบด้วยเครื่อง CNC จึงสามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี สำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ หรือการทำงานที่ต้องการเก็บรายละเอียด หรือผลการทำงานที่ประกอบไปด้วยประสิทธิภาพ จนได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วเพราะจากที่เหตุได้อย่างบ่อยครั้งนั้นคือการนำเข้าของเครื่องจักรและวัสดุอุปกรณ์จากต่างประเทศ เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตที่ออกมาได้มาตรฐานและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การตัดเหล็กตามแบบนั้นไม่เพียงแต่การมีเครื่องตัดด้วยระบบแก็ส หรือวัสดุอุปกรณ์ที่ดีเพียงเท่านั้น เพราะหากต้องการเหล็กตัดที่ออกมาแล้วตรงต่อความต้องการ ทั้งนี้จะต้องขึ้นอยู่กับเทคนิคพิเศษ จากช่างผู้ที่มีฝีมือ และความเชี่ยวชาญในการตัดเหล็กตามแบบอีกด้วย หากเป็นช่างที่มากด้วยประสบการณ์ หรือมากด้วยฝีมือในการทำงานจัดได้เลยว่าช่างผู้นั้นสามารถทำตามแบบที่ลุกค้าต้องการได้เป็นอย่างดีแน่นอน

สำหรับเครื่องตัดเหล็ก CNC จากทางเราที่ได้นำมาให้บริการตัดเหล็กนั้นได้สั่งตรงมาจากเเมืองนอก ไม่ว่างานแบบไหน เหล็กที่ต้องการตัดนั้นจะหนาหรือบางก็สามารถที่จะกระทำการตัดได้ในระยะเวลาอันสั้น ด้วยความทันสมัยเครื่องดังกล่าวไม่เพียงตัดเหล็กตามแบบเท่านั้นเพราะสามารถเจาะรูได้ไม่ว่าจะเป็นรูกลม หรือรูเหลี่ยม โดยของรู หรือวงในนั้นออกมาเป็นชิ้นที่สวยงามสามารถนำไปใช้งานได้อีกด้วย ทำให้ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทอง หรือความเสียหายของรูปร่างที่เกิดจากความผิดพลาดในเหล็กตัดได้ไม่น้อยเลย

และด้วยพนักงาน หรือทีมช่างที่ได้ผ่านการฝึกอบรม หรือมีความเชี่ยวชาญในการทำงานนั้น ไม่ว่าใครต่างก็มั่นใจในผลงานด้วยกันทั้งนั้น วันนี้อย่างปล่อยเรื่องง่ายๆให้กลายเป็นเรื่องยาก มาลบเหลี่ยม มุมหรือความไม่เข้าที่ของตัวเหล็กตัดด้วยการใช้เครื่องตัดเหล็กตามแบบอย่าง CNC  เป็นตัวช่วยกันดีกว่า มั่นใจได้เลยว่าไม่ว่าร้านๆไหนๆ ที่ให้บริการเกี่ยวกับเหล็กจะมีการใช้งานเครื่อง CNC ตัวนี้เป็นอย่างดี แล้วคุณล่ะวันนี้ได้มีการตัดเหล็กตามแบบด้วยวิธีการไหน

——————————————————————————————————————————————————————————————————————

เหล็กแผ่นลาย Checkerd Plate

เหล็กแผ่นลายเรียกได้อีกชื่อหนึ่งเป็นภาษาอังกฤษว่า Checkerd Plate เป็นเหล็กที่นำมาใช้ในงานปื้นทางเดิน ขั้นบันใด หรือพื้นระยะรถบรรทุกเท่านั้น เพราะสถานที่เหล่านี้ต้องการการสิ่งที่สามารถป้องกันความลื่นและน้ำขังได้ ซึ่งเหล็กลายเองก็สามารถตอบโจทย์ในข้อนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะมีลายที่นูนออกมา สามารถลดแรงเสียดทานได้อีกด้วย
เหล็กแผ่นลาย ที่ใช้วัตถุดิบจากแสตนเลส และอลูมิเนียมจะทำโดยเอาโลหะมาปั้มให้นูนขึ้น ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นก็จะยุบลงไปตามรอย หรือลายที่ได้ทำการปั๊ม ส่วนเหล็กแผ่นลายที่ทำมาจากเหล็ก จะไม่มีการปั๊มขึ้นรูปแต่จะรีดร้อนออกมาเป็นลายเลย

การทำเหล็กแผ่นลายนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับโลหะและการนำไปใช้งาน โดยลวดลายเหล่านั้นทำให้เกิดผิวสัมผัสของโลหะที่ก่อให้เกิดความฝืด มีแรงเสียดทานอยู่ในระดับที่สูง อีกทั้งมีความทนทานและแข็งแรงอีกด้วย จึงเหมาะสมสำหรับปูพื้นต่างๆที่ได้กล่าวมาในข้างต้น

ลักษณะการใช้งานของเหล็กลายมีดังต่อไปนี้
การใช้เหล็กแผ่นลายกันลื่นที่ทำด้วยวัสดุที่เป็นเหล็กนั้นสามารถสร้างความสวยงามด้วยการพ่น หรือทำสีแบบพาวเดอร์โค๊ตได้ แต่หากนำมาใช้งานภายนอก เป็นทีแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเจอทั้งแดดและฝน วิธีการป้องกันไม่ใช้ขึ้นสนิมเร็วเกินไป และเพื่อความทนทานขึ้นกว่าเดิมสามารถชุบสังกะสีร้อน หรือชุบกัลวาไนซ์ ก็สามารถช่วยได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่หากเป็นเหล็กแผ่นลายที่ทำมาจากสแตนเลสนั้น เนื่องจากสแตนเลสเองมีคุณสมบัติในการป้องกันสนิมอยู่ในตัวแล้วจึงไม่จำเป็นทีจะต้องปกป้องอีกชั้นดังเช่นเหล็กแผ่นลายที่ทำมาจากเหล็ก ดังนั้นสังกะสีร้อน หรือกัลป์วาไนซ์จึงไม่จำเป็นสำหรับเหล็กแผ่นลายชนิดนี้ ข้อแนะนำสักนิดหากนำมาใช้ในงานที่ต้องการปกปิดรอยขีดข่วนหรือร่องรอยต่างๆนั้น เหล็กแผ่นลายที่ควรเลือกคือทำจากสแตนเลสผิวขนแมว หรือแฮร์ไลที่จัดได้เลยว่าตอบโจทย์ข้อนี้ได้ดีที่สุด

สำหรับการปูเหล็กแผ่นลายบนพื้นเพื่อป้องกันความลื่น หรือเพิ่มแรงเสียดทาน สามารถทำได้หลายวิธี คือการปูทับบนพื้นปูนไปเลยในขณะที่ปูนยังไม่แห้ง การรองพื้นปูนที่ยังไม่แห้งด้วยไม้อัด และตามด้วยเหล็กแผ่นลายติดกาวทับลงไป และวิธีการสุดท้ายคือการตีโครงแบบเหล็กแผ่นลายแล้วค่อยนำเหล็กวางลงบนพื้น

เหล็กแผ่นลายเป็นเหล็กที่ผลิตมาจากเหล็กกล้า มีเนื่องแกร่ง ทนทาน เป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรม JIS G3101 SS400 หากใครที่กำลังต้องการเหล็กแผ่นลายที่ได้มาตรฐานนั้นต้องทราบก่อนเลยว่าต้องเป็นเหล็กแผ่นลายที่มากจากการหล่อ หรืองานรีดร้อนเท่านั้น เพราะทุกวันนี้ได้พบบ่อยมากสำหรับเหล็กแผ่นที่ได้มาจากกระบวนการปั๊มนูนจากเหล็กแผ่นดำ ซึ่งเหล็กแผ่นลายที่ได้มาจากงานหล่อ หรือรีดร้อนนั้นจะมีความทนทาน แข็งแรง และสามารถที่จะได้ใช้งานได้คุ้มค่ากว่าเหล็กแผ่นดำปั๊มนูน มีลวดลายที่แสดงออกอย่างชัดเจน สวยงาม และมี มอก. ที่แสดงถึงโรงงานผลิตได้ชัดเจนที่สุด

สำหรับการเลือกซื้อเหล็กแผ่นลายนั้นจะต้องมีขนาด หรือระดับความกว้างยาวที่ชัดเจน และความหนานั้นต้องได้ตามสเปค มีหน่วยวัดที่เป็นมาตรฐานและเป็นมิลลิเมตร เหล็กแผ่นลายที่ได้มาตรฐานจะต้องมีขนาด 4′ × 8′ และ 5′ × 10′ และมีความหนาที่เริ่มต้นตั้งแต่ 2 มิล จนถึง 12 มิล ให้ผู้ที่ต้องการเลือกซื้อได้ทำการเลือกตามขนาดที่ต้องการตามลักษณะการใช้งานและสเปคตารางเหล็ก

ในการกระบวนการทำเหล็กแผ่นลายนั้น ก่อนต้องริเริ่มตั้งแต่การเลือกเหล็กก่อนว่าเป็นเหล็กรูปพรรณทรงแบนซึ่งทำจากวัสดุที่เป็นเหล็กแผ่นม้วนคุณภาพที่สูง ในกระบวนขั้นตอนวิธีการทำนั้นได้ถูกควบคุมด้วยเครื่องจักที่ทันสมัย ปราศจากเหล็กที่ด้อยคุณภาพมาเจือปน และงานออกมามากมายหลากหลายขนาด สำหรับเหล็กแผ่นลายทุกกระบวนการขั้นตอนในการดำเนินงานนั้นถูกผลิตขึ้นด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่ ตรงตามมาตรฐานที่วิศวกรได้กำหนด โดยตัว

เหล็กแผ่นลายเองจะมีสีที่เหมือนกันและมีขนาดเท่ากันทั้งแผ่น สำหรับเหล็กแผ่นไม่ว่าจะผ่านกระบวนการรีดร้อน หรือรีดเย็นนั้น ทุกเกรดจะต้องมีมาตรฐาน มอก. รองรับทุกชนิด SPHC SS400 และอีกทุกสเปค ซึ่งมีผลิตจากโรงงานทั้งในและนอกประเทศให้ได้ทำการเลือกมากมาย

——————————————————————————————————————————————————————————————————————-

เหล็กเพลา

เหล็กเพลาเป็นเหล็กที่ได้ชื่อว่าเป็นเหล็กที่มีความสามารถในการรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี สามารถนำไปใช้งานในด้านอุตสาหกรรมต่างๆได้อย่างไม่มีใครสามารถเทียบได้ เนื่องจากมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่มีความแตกต่างไปจากเหล็กทั่วๆไป ไม่ว่าจะเป็นความละเอียดของขนาด ความเรียบของพื้นผิว หรือแม้กระทั่งสมบัติเชิงกลบางประการ ที่สามารถให้ประโยชน์ในด้านการใช้งานมากกว่าเหล็กอื่นๆ มีหน่วยเรียกในการชื่อขาย 2 ชนิดคือ หุน และ มิล ซึ่งจากทั่วไปหลายคนอาจรู้จัก หรือทำการเลือกซื่อกันในนามของหน่วยหุน ด้วยความที่มีสมบัติเฉพาะตัว และความสามารถในการทานน้ำหนักได้ดีนั้นจึงมีราคาที่สูงมากเอาการเมื่อเทียบกับเหล็กชนิดอื่น

เหล็กเพลาจัดอยู่ในชนิดของเหล็กกล้าที่ประกอบไปด้วยคาร์บอน ที่น้อยกว่า 1.7 – 2 % ซึ่งเป็นเหล็กที่ขึ้นชื่อเรื่องความเหนียวมากกว่าเหล็กหล่อ สามารถทำการนำมาขึ้นเป็นรูปโดยใช้กรมวิธีทางกลได้ ทำให้เหล็กเพลาได้ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางและสามารถพบเห็นได้บ่อยครั้งในการดำเนินชีวิตประจำวัน

โดยปกติแล้วเหล็กเพลาสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือเหล็กเพลาดำและเหล็กเพลาขาว ซึ่งมีความแตกต่างกันดังต่อไปนี้

เหล็กเพลาดำ เป็นเหล็กเพลาที่ได้ผ่านกระบวนการรีดเหล็กร้อน ซึ่งจะเรียกกันว่าเหล็กเพลาดำ ซึ่งมีกรรมวิธีในการผลิตคล้ายๆกับเหล็กกลม แต่จะมีความต่างกันที่สมบัติของเหล็กและความกลม เนื่องจากเหล็กเพลานั้น ส่วนใหญ่แล้วเน้นในการใช้งานเป็นวัตถุดิบในการทำอุตสาหกรรมที่เน้นในเรื่องความกลมและความสวยงามมากเป็นพิเศษ แต่สำหรับเหล็กเส้นนั้น ถูกออกแบบมาใช้งานในลักษณะที่ไม่จำเป็นเรื่องความกลมมากนัก แต่หากนำมาใช้ในงานอุตสาหกรรมด้วยกันแล้วสามารถที่จะรับน้ำหนักและสร้างความทนทาน ได้เช่นเดียวกับเหล็กเพลา ซึ่งเหล็กเพลา S45C จะมีแรงรับทีใกล้เคียงกับเหล็กเส้น SD40 ที่ 45 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร

สำหรับเหล็กเพลาที่เกิดขึ้นจากกระบวนการรีดร้อนนี้ บางครั้งอาจเรียกว่า เพลาฟ้า หรือเพลาแดง  ทั้งนี้เพื่อเป็นการนำมาใช้ในงานที่แยกประเภท หรือกำหนดเกรดของเหล็กเพลา เพราะเหล็กเพลาสีเหล่านี้สามารถรับน้ำหนัก และมีความแข็งแรงมากกว่าเหล็กเพลาสีธรรมดาหลายเท่าตัว

และที่สำคัญเหล็กเพลามีราคาที่สูง เพราะเนื่องจากกระบวนการผลิต หรือกว่าจะได้มาซึ่งเหล็กเพลานั้น หลายขั้นตอนเมื่อเทียบกับเหล็กกลมแบบธรรมดานั้นมี่ความยากที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกเอาเสียเลยทีมีราคาสูงกว่าเหล็กกลมประมาณ 5 – 10 %

เหล็กเพลาขาว หรือที่เรียกตามชื่อภาษาอังกฤษว่า Cold Drawn Bar ซึ่งมีกระบวนการผลิตที่แตกต่างและซับซ้อนไปกว่าการผลิตเหล็กเพลาดำเข้าไปอีก ด้วยการนำเหล็กเส้น หรือเหล็กเพลาดำไปทำการดึงด้วยความเย็นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งกระบวนการดึงเย็นดังกล่าวนั้นเป็นผลทำให้เหล็กเพลาที่มีสีเทาดำ เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นสีเทาเงิน จึงมีที่มาของคำว่าเหล็กเพลาขาว เนื่องจากตามลักษณะของสีเหล็กนั่นเองค่ะ

สำหรับคุณสมบัติของเหล็กเพลาขาวนั้นมีความแข็งกว่า แต่ทั้งนี้ในด้านความยืดหยุ่นก็จะน้อยกว่าเหล็กเพลาดำ เหล็กเพลาขาวเป็นเหล็กกล้า กลม และสามารถหาได้โดยทั่วไปนั้นมีขนาดตั้งแต่เส้นผ่าศูนย์กลาง 4 ม.ม. ไปถึง 6 นิ้ว เป็นเหล็กเพลา SS400  สำหรับงานกลึงทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรม ยานยนต์ ที่สามารถนำมาใช้ในการดำเนินงานได้เพราะมีการกลึงหรือผ่านการตัดเฉือนมาแล้ว สภาพของผิวล้วนมีสภาพที่พร้อมต่อการใช้งานได้เลยไม่จำเป็นต้องนำไปปรับปรุงคุณภาพของผิวใหม่อีกครั้ง สะดวกต่อการใช้งานเป็นอย่างมาก สำหรับเหล็กเพลาขาวจะบอกย่อคำหน้า St แล้วตามด้วยตัวเลขตามหลัง ซึ่งสิ่งที่ได้ระบุไว้นั้นจะบ่งบอกถึงความสามารถในการทนต่อแรงดึงดูด สำหรับเหล็กเพลาขาวจะมีหน่วยเป็น กก./ม.ม. 2

สำหรับการเลือกซื้อเหล็กเพลาเพื่อการใช้งานนั้นจะต้องทำการตรวจเช็คและสังเกตให้แน่ใจว่าตัวเหล็กนั้นได้ไม่ได้ขึ้นสนิม หรือรอยตำหนิแต่อย่างไร และจะดีไปกว่านั้นหากทางร้านที่ได้จัดจำหน่ายสามารถบอกได้ว่าเหล็กชนิดนี้ได้มาจากแหล่งผลิตไหน ในหรือนอกประเทศ บนตัวเหล็กได้มี มอก. รองรับมาตรฐานการผลิตหรือไม่ เนื้อเหล็กจะต้อไม่แตก หรือเป็นรอยแยก ผิวเหล็กเองต้องละเอียดและมีความเกลี้ยงเกลา เพราะมิเช่นนั้นแล้วอาจได้เหล็กที่ไร้คุณภาพ และไม่มีเกรดมาใช้งานก็เป็นไปได้

            ข้อควรระวังในการเลือกใช้เหล็ก

  1. ในการเลือกเหล็กนั้นจำเป็นที่จะต้องเป็นเหล็กที่มีเกรดและมีมาตรฐาน เพราะมิเช่นนั้นแล้วจะเกิดผลที่ตามมาอย่างคิดไม่ถึงแน่นอน ดังนั้นในการเลือกเหล็กเพลาเพื่อการใช้งานจะต้องมีการตรวจสอบและดูเสียทุกเส้นก่อนที่จะใช้งาน
  2. ในงานที่ต้องมีการใช้งานเหล็กเพลาที่มากนั้นไม่จำเป็นต้องตรวจเช็คทุกเส้น เพราะมันจะเสียเวลาไม่น้อยเลย วิธีการที่ทำได้คือการชั่งน้ำหนัก และทำการเฉลี่ยให้มีผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงที่สุด
  3. เหล็กเพลาที่ไม่ได้มาตรฐานนั้น จะเป็นผลทำให้ความแข็งแรงลดลงมาก สังเกตได้อย่างง่ายดาย คือตลอดทั้งเส้นความเรียบ ละเอียดและเฉดสีจะไม่เท่ากัน และที่ไม่แนะนำเลยคือเหล็กเพลาที่ได้ถูกผลิตในประเทศจีน เพราะจากที่ได้ทำกาสำรวจมานั้นมีการปลอมแปลง และเป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานมาก